พื้นฐาน Cuts & Transitions

เดี๋ยววันนี้ผมจะพาทุกคน มาดู Cut และ Transition เป็น basic แล้วก็เป็นที่นิยมกันใช้ส่วนใหญ่นะครั บมีอะไรบ้างเดี๋ยวไปดูกันครับ

สวัสดีครับ อย่างที่ทุกคนรู้กันว่าการที่จะทำให้วีดีโอดูสนุก สวย น่าติดตามเนี่ย นอกจากการถ่ายให้สวยแล้ว เฟรมมิ่งให้สวยแล้วเนี่ย มันมีเทคนิคหนึ่งที่มองข้ามไปไม่ได้ นั่นคือการตัดต่อ เดี๋ยวคลิปนี้เราจะพาทุกคนมารู้จัก Cut และ Transition ที่เป็น basic และเป็นที่นิยมใช้กันส่วนใหญ่ครับว่ามีอะไรบ้าง

โอเค เดี๋ยวเรามาเริ่มกันที่ Cut กันก่อน คัทเนี่ยในการตัดต่อมันคือการที่เราเนี่ยตัดฟุตเทจ เพื่อฟุตเทจนำมาต่อกันแล้วก็เล่าเรื่อง จะทำให้เราเนี่ยสามารถสร้างจังหวะในหนัง จังหวะในภาพได้ ว่าอยากให้กระชับ ช้า หรือเร็ว หรือแม้กระทั่งการใช้คัทเนี่ยในการสร้างความรู้สึกแบบต่างๆ ซึ่งทั้งนี้ขึ้นอยู่แต่ละประเภทของคัท

มากันที่คัทแบบแรก นั่นคือ Cut on action Cut on action เนี่ยเป็นการตัดฟุตเทจในจังหวะที่มี action กำลังเกิดขึ้น เพื่อให้เกิดการเชื่อมฟุตเทจมีความต่อเนื่องขึ้น โอเคเดี๋ยวผมจะยกตัวอย่างครับ ผมมีตัวอย่างของที่เราลองถ่าย insert กันมาให้ดู ก็คือในช็อตแรกเนี่ย ผมกำลังจะทำการปิดโน๊ตบุ๊คใช่ไหมครับ เราใช้ Cut on action ตรงไหนครับ เราใช้ Cut on action ตรงจังหวะที่ผมเนี่ยปิด notebook ลงมาแล้ว ซึ่งจังหวะที่ notebook ถูกปิดลงไปตรงนั้นเนี่ยเราสามารถคัทและเล่าต่อได้เลย อันนี้เป็นตัวอย่างของการใช้ Cut on action ซึ่งในตัวอย่างหนังเนี่ยขอยกตัวอย่างหนังเรื่องนึงแล้วกัน มีฉากต่อสู้ที่เกิดขึ้นใช่ไหมครับ สมมติว่าเราต่อยไปแล้วปุ๊ป แล้วตัดไปที่ฟุตเทจต่อไปเนี่ยเป็นการถูกต่อย ประโยชน์ของมันเนี่ย บางทีช่วยย่นระยะเวลาในการเล่าเรื่องได้ ซึ่งเรื่องนั้นเนี่ยยังคงต่อเนื่องอยู่ เราก็สามารถใช้ประโยชน์จาก Cut on action เนี่ยในการเปลี่ยนภาพในการเล่าได้

ต่อไปคือ Jump cut Jump cut เนี่ยคือการตัดต่อโดยการที่นำฟุตเทจยาวๆ มาซอยออก มา trim ออก แล้วก็ทำให้ทั้งหมดเนี่ยมาอยู่รวมกันแล้วกระชับขึ้น การใช้ Jump cut จะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อเราเนี่ย อยากเล่าเรื่องหรือว่าเล่าเหตุการณ์ที่มันมีความยาว แต่ทั้งหมดคือได้ดูเหตุการณ์ครบ ตอนนี้ผมมีตัวอย่างให้ดูเป็น shot ในการเก็บของ ซึ่งเราใช้ Jump cut เนี่ยในการ trim ส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป เราก็จะเห็นได้ว่า คนเนี่ยก็จะไปเก็บของมุมนั้นมุมนี้ในเวลาที่ไม่กี่วินาที แค่นี้เราก็จะสามารถเล่าภาพที่เกิดขึ้นได้ครบทั้งหมดในเวลาที่มีจำกัด สำหรับ Jump cut นอกจากรูปแบบที่ผมได้บอกไปข้างต้นแล้วเนี่ย มันก็ถูกใช้กับอีกรูปแบบหนึ่งนั่นคือ การถ่าย Vlog การถ่ายการพูด การถ่าย interview แบบนี้ เราจะใช้ก็ต่อเมื่อหั่นสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป เช่นจังหวะ error หรือว่าจังหวะนึกคิด จังหวะการพูดที่ไม่ได้กระชับหรือไม่ได้มีเนื้อหาอะไรที่สำคัญ เราใช้ Jump cut เนี่ยช่วยในการ trim เนื้อหาพวกนี้ออกไป จะทำให้เราเล่าเรื่องได้อย่างสมูธมากขึ้นในการสื่อสารในตัววีดีโอตรงนี้

ต่อไปเราจะมาพูดถึงเรื่องของ Match Cut Match Cut คือเทคนิคการตัดต่อที่เราจะเลือกใช้ก็ต่อเมื่อเราเนี่ย ต้องการที่จะเชื่อมฟุตเทจ A และ B ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน มีความกลมกลืนกัน แล้วก็มีเฟรมภาพ มีแอคชั่นอะไรที่ใกล้เคียงกันครับ เดี๋ยวผมจะขอยกตัวอย่างเป็นโฆษณาเกี่ยวกับที่นอนแบรนด์นึง ช็อต A เนี่ยจะเห็นได้ว่านักแสดงที่เป็นผู้สูงวัยกำลังที่จะเอนตัวลงนอน กำลังที่จะห่มผ้า แล้วพอเราคัทมาที่ช็อต B ปุ๊บ จะเห็นว่านักแสดงได้เป็นวัยสาวไปแล้ว Match Cut เนี่ยเป็นเทคนิคการต่อที่สามารถเลือกใช้ได้ในจังหวะที่เราอยากเชื่อมเรื่องให้รู้สึกว่าน่าสนใจ รู้สึกว่าเท่ แล้วรู้สึกว่ามันลิงค์กัน บางจังหวะทำดีๆเนี่ย คนดูสามารถรู้สึกว้าวได้เลย

เราจบเรื่อง Cut กันไปแล้ว ต่อไปผมจะพูดถึงเรื่องของ Transition บ้าง Transition คือการใช้เอฟเฟคบางอย่าง ในการเปลี่ยนผ่านของฟุตเทจ A และ ฟุจเทจ B พูดง่ายๆคือ การที่เราจะตัดฟุตเทจ A และ ฟุจเทจ B เชื่อมต่อกันเนี่ย เรามีเอฟเฟคบางอย่างครับมาคั่นตรงกลางครับ วันนี้นะผมมี 3 Transition ด้วยกันที่แบบเบสิคแล้วก็นิยมใช้ครับ เดี๋ยวเราจะมาดูกันว่ามีอะไรบ้างครับ

มาที่ Transition แบบแรก ที่ผมจะยกตัวอย่าง อันนี้เป็นอะไรที่คนเนี้ยน่าจะรู้จักกันอยู่แล้วค่อนข้างเบสิค คือการ Fade การ Fade เนี่ยจะเป็นการที่ภาพเนี่ยจะเริ่มจากความจุดที่มืดที่สุด แล้วก็ไปหาจุดที่ภาพเนี่ยความสว่างเต็มที่สุด เนื้อหาภาพเต็มที่สุด Fade เนี่ยจะทำให้คนดูรู้สึกว่า นุ่ม นวล แล้วค่อยๆรู้สึกไปกับภาพนั้นๆ มันจะต่างกับการที่แบบ คัทชน แล้วแว้บแรกเราเห็นภาพนั้นเลยแบบเต็มๆ การใช้ Fade In/Out มีด้วยกัน 2 อย่างนั่นก็คือ Fade แบบ black แล้วก็ Fade แบบ white Fade Black เนี่ย สมมติเรามีฟุตเทจ A และ ฟุจเทจ B ใช่มั้ยครับ ท้ายของฟุตเทจ A จะถูกค่อยๆลดตัว opacity ของภาพลงจากตั้งแต่ 100 ไปจนถึง 0 ก็คือภาพจะค่อยๆมืด ไปถึงมืดสนิท แล้วพอฟุจเทจ B จะเข้ามาเชื่อมเนี่ย ฟุจเทจ B จะเริ่มจาก 0 ไปจนถึง 100 ตรงกลางระหว่างนั้นทรานซิชันตรงนี้เนี่ยเราเรียกว่า fade แบบ black นั่นเอง ก็คือ fade มืด fade ดำไปเลย ซึ่งหลายๆคนที่ดูคลิปนี้น่าจะเคยเห็นตัวอย่างของการ fade ดำแบบนี้อยู่แล้ว

ต่อไปคือ transition แบบ Invisible Cut คือการเล่าจากช็อต A เชื่อมไปยังช็อต B โดยมีวัตถุบางอย่างขึ้นมาบังเฟรม หรือว่าเป็น object ที่ทำให้รู้สึกว่าเฟรมเนี่ยถูกบังมิดไป แล้วค่อยเล่าต่อด้วยเฟรม B ซึ่งการใช้ transition แบบ Invisible Cut เนี่ย มันจะทำให้คนดูรู้สึกสมูธมากๆเลยครับ รู้สึกความต่อเนื่อง บางครั้งเนี่ยถูกนำไปใช้ในการเปลี่ยน แม้กระทั่งเปลี่ยนโลเคชั่น เปลี่ยนสถาน หรือเปลี่ยนแอคชั่น การถ่ายเนี่ยถูกออกแบบมาให้สมูธว่าตั้งแต่แรก อย่างเช่นการที่เราน่าจะเฟรมมิ่งจากซ้ายไปขวา ช็อตต่อมา ช็อต B เนี่ยก็ต้องเป็นซ้ายไปขวาด้วยเหมือนกัน เพื่อให้ภาพเนี่ยรู้สึกว่าเป็น direction เดียวกัน ซึ่งในการใช้เทคนิค transition แบบ Invisible Cut สามารถทำได้ด้วยกัน 2 วิธีละกันที่ผมจะยกตัวอย่างให้ฟังนะ คือวิธีแรกเนี่ย เราเอาฟุตเทจ A จุดที่ผ่านเสาแบบเต็มเฟรมเตรียมไว้ใช่ไหมครับ แล้วเราเนี่ยเอาฟุตเทจ B ที่ผ่านเสาแบบเต็มเฟรมเหมือนกันในตอนเริ่มมาต่อกัน ซึ่งตรงนี้เนี่ยจุดที่เขาเป็น transition กันโดย Invisible Cut เนี่ยเราอาจจะใช้ dissolve นิดๆ ในการช่วยให้ภาพรู้สึกสมูธยิ่งขึ้นนะ ภาพจะไม่รู้สึกว่ามันกระแทกเกินไป เพราะบางทีสภาพแสงแต่ละที่อาจจะไม่ได้เท่ากันขนาดนั้นอะไรเงี้ยครับ

และอีกเทคนิคหนึ่งที่ใช้กับ Invisible Cut ได้ก็คือการ Masking การ Masking จะช่วยให้ภาพมีความหวือหวามากกว่าการผ่านเสาในตอนแรก มันจะช่วยให้เฟรมที่เราใช้ Invisible Cut เนี่ยถูกไดคัทตัดออกไป ซึ่งการ masking สามารถกำหนดได้ด้วยว่าเราใช้ opacity เท่าไหร่ ใช้ความเข้มหรือความจางของขอบเท่าไหร่ ซึ่งมันจะมีความละเอียดสูงกว่า สามารถกำหนดเฟรมหรือการกำหนดการไดคัทได้อย่างที่เราต้องการครับ ซึ่งเทคนิคในการ masking แบบง่ายๆเนี่ย ผมมีลิงค์อยู่ด้านล่างให้ลองไปดูกัน เป็นคลิปเก่าๆ ของเรานั่นเอง

จากทั้งหมดที่พูดมาทั้ง cut และตัว transition ไม่จำเป็นต้องใช้แยกกันอย่างใดอย่างหนึ่ง เราสามารถนำ 2 อย่าง หรือ 3 อย่างมิกซ์ผสมเข้าด้วยกันได้ แล้วแต่จังหวะในการเล่า แล้วแต่สิ่งที่เราต้องการที่จะเล่าออกไปในเรื่องนั้นๆในวีดีโอนั้น ซึ่งมันก็จะทำให้มาตรฐานการตัดต่อวีดีโอของคุณเนี่ย ดูยกระดับมากยิ่งขึ้น ยังไงเนี่ยก็อยากให้มึอใหม่ จากที่ดูคลิปนี้แล้วเนี่ย ลองไปสนุกกับเทคนิคการตัดต่อที่ผมได้บอกไปมากขึ้น ได้เข้าใจกันมากขึ้น แล้วก็ลองนำไปปรับใช้ดู ถ้ามีคำถามหรือข้อสงสัยอะไรครับสามารถคอมเม้นทิ้งไว้ได้เลยครับ เดี๋ยวเราจะมีทีมงานไปตอบครับ ไว้เจอกันใหม่คลิปหน้า แล้วอย่าลืมกดกระดิ่ง กด subscribe กดไลค์ กดแชร์ด้วย

หากผู้ชมคนใดสนใจ สามารถดูวิดีโอได้ที่ Youtube:https://youtu.be/7LD1mFzwBfU